"คีเลชั่น"เทคนิคฟื้นฟูหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ในชีวิตประจำวันของเรา ต้องสัมผัสกับสารโลหะหนักที่เข้าสู่ร่างกายอยู่ตลอดเวลา ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น

ในสหรัฐอเมริกามีการตรวจพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักทั้งในข้าว ธัญพืชและสินค้าบริโภคอีกหลายชนิด นิตยสารเพื่อผู้บริโภค “คอนซูเมอร์ รีพอร์ต” ในสหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการตรวจสอบสารปนเปื้อนในข้าวสารและผลิตภัณฑ์ทำจากข้าว เช่น ธัญพืช, เค้ก รวมถึงเครื่องดื่ม ซึ่งวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา อ้างอิงการสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่างสินค้าบริโภค 1,200 ชนิดทั่วสหรัฐอเมริกา พบว่า สินค้า 220 ชนิด ปนเปื้อนสารหนูสังเคราะห์ในปริมาณเฉลี่ย 3.5-6.7 ไมโครกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่สินค้าอีก 223 ชนิด ปนเปื้อนสารหนูสูงถึง 8.7 ไมโครกรัม

สารหนู หรือ Arsenic (อาเซนิก) เป็น 1 ในโลหะหนักที่มีผลต่ออวัยวะของร่างกาย เช่น เลือด ไต ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบย่อยอาหาร ซึ่งนอกจากข้าว ธัญพืช แล้วยังมีการพบสารหนูในผัก ผลไม้ น้ำดื่ม อาหารทะเล เครื่องสำอาง ยาแผนโบราณ ฯลฯ นอกจากสารหนูแล้ว ร่างกายยังต้องเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของโลหะหนักไม่น้อยกว่าอีก 20 ชนิด เช่น แมง-กานีส ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม สังกะสี โคบอลต์ เป็นต้น และหากสะสมในร่างกายมากๆจากการได้รับเป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะ ที่สะสมไม่สามารถทำหน้าที่ได้เป็นปกติ

ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิ ช่วยวงษ์ญาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม ประจำ ลิมบิค คลินิก ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของวิลล่า เมดิก้า สถาบันการแพทย์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป เล่าว่า หากร่างกายคนเรามีการสะสมของสารพิษหรือโลหะหนักจนถึงระดับหนึ่งจะแสดงอาการออกมาให้เห็น ด้วยอาการป่วยในระบบอวัยวะต่างๆ ในรายที่สะสมมากๆเป็นเวลานานๆ ความเป็นพิษของโลหะหนักจะเข้าไปมีผลต่อการทำงานของกลไกระดับเซลล์ เช่น ทำให้เซลล์ตาย, เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของเซลล์, เป็นตัวการทำให้เกิดมะเร็ง, เป็นตัวการทำให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม และทำความเสียหายต่อโครโมโซม ซึ่งเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม

ที่สำคัญคือ โลหะหนักทุกชนิดไม่สามารถเผาผลาญในร่างกายได้...

คำถามคือ แล้วจะกำจัดสารโลหะหนักเหล่านี้อย่างไร

คุณหมออัญวุฒิ บอกว่า วิธีการที่ถือว่าเป็นเทคนิคใหม่ และกำลังเป็นที่สนใจทั่วโลกขณะนี้ คือ เทคนิคการฟื้นฟูหรือการล้างหลอดเลือด ที่เรียกว่าการทำ “คีเลชั่น” (Chelation Detoxification)

“หลักการง่ายๆของคีเลชั่นก็คือ การเอาของดีเข้าสู่ร่างกายเพื่อไล่ของเสียออก วิธีการคือ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ โดย EDTA จะเข้าไปทำหน้าที่สำคัญในการจับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ พอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้เป็นอันตรายต่อผนังเซลล์และผนังหลอดเลือด เพื่อขจัดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ”

คุณหมออัญวุฒิ ยังบอกด้วยว่า นอกจากขจัดสารพิษออกจากร่างกายแล้ว การทำคีเลชั่นยังช่วยรักษาอาการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น สำหรับคนที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบและแข็ง สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดบายพาสได้ถึง 85% ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระ และการเกาะตัวของคอเลสเทอรอลที่ผนังหลอดเลือด รวมไปถึงลดอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ทำให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่นขึ้นด้วย

“การทำคีเลชั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เหมือนการให้น้ำเกลือธรรมดาๆนี่เอง ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ทำสามารถพักผ่อน ดูโทรทัศน์ รับประทานอาหารว่าง อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตามปกติและหลังจากทำเสร็จแล้วก็สามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาลหรือคลินิก” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม บอกพร้อมกับยกตัวอย่างให้ฟังว่า มีคนไข้เบาหวานที่หลอดเลือดลำเลียงเลือดไปเลี้ยงปลายนิ้วไม่ดี แพทย์ผู้รักษาลงความเห็นแล้วว่าอาจจะต้องตัดนิ้ว แต่พอมาทำคีเลชั่น ประมาณ 4-5 เดือน ปรากฏว่าหลอดเลือดทำงานดีขึ้น เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดี สีที่ดำคล้ำของนิ้วหายไป ไม่ต้องตัดนิ้ว ซึ่งก็ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีมากๆที่ไม่ต้องเสียอวัยวะไป

คุณหมออัญวุฒิ บอกอีกว่า มีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับประโยชน์ของคีเลชั่น โดยส่วนใหญ่มีข้อสรุปตรงกันว่า การทำคีเลชั่นทำให้ร่างกายสดชื่น สมบูรณ์ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบทั้งในสมองและหัวใจ ลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยแก้ไขและบรรเทาอาการความดันโลหิตสูง เบาหวาน โลหะหนักเป็นพิษ ปวดศีรษะบ่อย โรคอันเกิดจากระบบการไหลเวียน และภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรัง บรรเทาอาการอัลไซเมอร์ ช่วยให้สมองแจ่มใส และมีความจำดีขึ้น ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้อาการอ่อนเพลียเรื้อรังหายไป

ท้ายสุด คุณหมออัญวุฒิ บอกว่า แม้การทำคีเลชั่นจะสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย รวมถึงความเครียดต่างๆ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน.